วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2560

จ้างไถพรวนดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3284/2543
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม.227
พระราชบัญญัติป่าไม้ ม.4, 54, 72 ตรี, 74 ทวิ
             โจทก์มีจ่าสิบตำรวจทวีและจ่าสิบตำรวจชยันต์ผู้ร่วมจับกุมนายสุวิวัฒน์มาเบิกความยืนยันตรงกันว่า ได้ไปจับกุมนายสุวิวัฒน์ขณะกำลังขับรถแทรกเตอร์ไถดันดินในดินที่เกิดเหตุ สอบถามนายสุวิวัฒน์ นายสุวิวัฒน์บอกว่าได้รับการว่าจ้างมาจากจำเลย และมีนายอาวุธ ซึ่งเป็นนายหน้ารับติดต่อไถพรวนดินโดยรถแทรกเตอร์มาเบิกความสนับสนุนว่า จำเลยได้มาติดต่อกับนายอาวุธให้นำรถแทรกเตอร์ไปไถดันดินซึ่งจำเลยอ้างว่าเป็นของจำเลยโดยจำเลยได้พานายอาวุธและนายสุวิวัฒน์ซึ่งเป็นผู้ขับรถแทรกเตอร์ไปชี้แนวเขตที่ดินที่จะว่าจ้างให้ไถดันดินด้วย
             ในคดีอาญา กฎหมายห้ามมิให้โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยานเท่านั้น ไม่มีกฎหมายห้ามมิให้รับฟังคำซัดทอดของผู้ต้องหาหรือผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกันแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังว่าคำซัดทอดนั้นมิได้เกิดจากเจตนาเพื่อให้ตนเองพ้นผิดหรือได้รับประโยชน์จากการซัดทอดนั้นด้วย แต่อย่างไรก็ตามในชั้นสอบสวนคดีนี้ไม่มีการกล่าวหาหรือแจ้งข้อกล่าวหาแก่นายอาวุธแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงที่ว่านายอาวุธทราบดีว่าที่ดินอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ก็เกิดจากความเข้าใจของจำเลยเองมิได้เกิดจากการสอบสวน นายอาวุธจึงมิใช่ผู้ต้องหาหรือผู้ร่วมกระทำผิดในคดีนี้ คำเบิกความของนายอาวุธจึงไม่ถือว่าเป็นคำซัดทอดของผู้ต้องหาหรือผู้ร่วมกระทำผิดคดีนี้
               ส่วนคำเบิกความของจ่าสิบตำรวจทวีและจ่าสิบตำรวจชยันต์พยานโจทก์ที่เบิกความว่า นายสุวิวัฒน์บอกว่าจำเลยเป็นผู้ว่าจ้างให้ไถดันดินนั้น แม้จะถือว่าเป็นพยานบอกเล่าในข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยว่าจ้างให้ไถดันดินจริงหรือไม่ แต่ก็ถือว่าเป็นประจักษ์พยานในข้อเท็จจริงที่ว่า นายสุวิวัฒน์ได้บอกแก่พยานโจทก์ทั้งสองว่าจำเลยเป็นผู้ว่าจ้างให้นายสุวิวัฒน์ไถดันดินซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของนายอาวุธ เมื่อทั้งจ่าสิบตำรวจทวี จ่าสิบตำรวจชยันต์และนายอาวุธ ต่างไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนจึงไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลย พยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวจึงสอดคล้องต้องกันมีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังลงโทษจำเลยได้
               ข้อเท็จจริงได้ความว่าขณะเกิดเหตุที่ดินที่เกิดเหตุ ยังเป็นที่ดินที่ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของหรือได้สิทธิใด ๆ ตามกฎหมาย จึงมีสภาพเป็นป่า ตามความหมายของพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4 (1) การที่จำเลยได้ว่าจ้างนายสุวิวัฒน์นำรถแทรกเตอร์เข้าไปไถดันดินในที่ดินที่เกิดเหตุ ย่อมฟังได้ว่าจำเลยกับนายสุวิวัฒน์ได้ร่วมก่นสร้าง แผ้วถาง อันเป็นการทำลายป่าและยึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองและผู้อื่นเนื้อที่ไม่เกิน 25 ไร่ จำเลยจึงมีความผิดตามฟ้องโจทก์แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าได้มีการเพิกถอนเขตป่าสงวนแห่งชาติในที่ดินที่เกิดเหตุดังที่จำเลยฎีกาหรือไม่ เพราะไม่ทำให้ความรับผิดของจำเลยเปลี่ยนแปลงไป
               ที่ดินบริเวณเกิดเหตุได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดินไว้ก่อนแล้ว เหตุที่มีการประกาศเป็นเขตปฏิรูปที่ดินเนื่องจากเป็นที่ดินที่เสื่อมโทรม และมีชาวบ้านเข้าไปครอบครองได้มีการออกหลักฐาน ส.ป.ก. ให้แก่ชาวบ้านที่เข้าครอบครองไปบ้างแล้ว และตามภาพถ่ายบริเวณที่เกิดเหตุ แสดงให้เห็นบริเวณที่เกิดเหตุไม่มีสภาพเป็นป่าที่สมบูรณ์เพราะมีต้นไม้ใหญ่ให้เห็นเพียง 2 ต้น และกองต้นไม้ที่ถูกไถดันโค่นลงในที่เกิดเหตุเป็นเพียงต้นไม้เล็ก ๆ ไม่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ การแผ้วถาง ก่นสร้างและครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุจึงไม่ทำให้เกิดความเสียหายแก่สภาพป่าเพิ่มขึ้นมากนัก จำเลยได้รับการเลือกตั้งจากชุมชนในท้องถิ่นให้เป็นกำนัน และได้ปฏิบัติหน้าที่กำนันได้สมประโยชน์แก่ทางราชการจนได้รับรางวัล นับว่าเป็นผู้มีคุณความดีต่อท้องถิ่นและทางราชการ จำเลยไม่เคยกระทำผิดมาก่อน จึงสมควรให้รอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยแต่เพื่อให้จำเลยหลาบจำ ไม่คิดกระทำผิดอีก จึงให้ลงโทษปรับจำเลยอีกสถานหนึ่ง