วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2560

เชื่อโดยสุจริตว่าก่อสร้างในอุทยานแห่งชาติได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๕๙๗ /๒๕๔๓
พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๔ มาตรา ๔ ,๖,๑๖,(๑ ),( ๔),( ๑๓ ),๒๔ ,๒๗  พระราชบัญญัติโรงแรม พ.ศ.๒๔๗๘ มาตรา ๓ , ๔, ๑๙   ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๙ , ๑๐๘ ทวิ
             คดีนี้โจทก์ฎีกาว่า ตามระเบียบของกรมป่าไม้ ปี ๒๕๒๕ และปี ๒๕๓๐ เอกชนไม่สามารถที่จะเข้ายึดถือครอบครองหรือปลูกสร้างสิ่งปลูกสร้างใด ๆ ในเขตอุทยานแห่งชาติได้ เว้นแต่เจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย และกรมป่าไม้ไม่เคยอนุญาตให้เอกชนใด ดำเนินกิจการหาผลประโยชน์ในเกาะเสม็ด นายไพโรจน์และหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้าและเกาะเสม็ด ไม่มีอำนาจออกคำสั่งอนุญาตให้บุคคลใดเข้าไปให้หาผลประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าวนั้น
             ศาลฏีกาเห็นว่า ก่อนมีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ที่ดินบนเกาะเสม็ดเป็นอุทยานแห่งชาติ มีราษฎรเข้ายืดถือครอบครองที่ดินบนเกาะเสม็ดอยู่แล้ว ปรากฎจากคำเบิกความของนายสมชาย นายอมร และนายดาวเรือง พยานโจทก์ว่า ได้กันพื้นที่ทางด้านเหนือของเกาะประมาณ ๗๐๐ ไร่ให้ ราษฎรอยู่อาศัย นอกจากนี้ นายไพโรจน์ รองอธิบดีกรมป่าไม้ปฎิบัติราชการแทนอธิบดีกรมป่าไม้ ได้ทำบันทึกระบุว่า มีผู้อ้างว่าตกสำรวจ ทั้งนายไพโรจน์ยังทำบันทึกด้วยว่ากรมป่าไม้อนุญาตให้สร้างบังกะโล ได้ ๕ หลังต่อพื้นที่ ๑ ไร่ นายไพโรจน์ ซึ่งเป็นอธิบดีกรมป่าไม้ ในภายหลังได้ส่งมาตามหมายเรียกของศาล โดยมีนักวิชาการ ๖ กองอุทยานแห่งชาติ รับรองสำเนาถูกต้อง เอกสารดังกล่าวจึงอ้างเป็นพยานหลักฐานได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๓๘ วรรคสอง
             แม้นายไพโรจน์มิได้มาเบิกความก็ตาม แต่นายสมบูรณ์ พยานโจทก์ได้เบิกความตอบคำถามค้าน ยอมรับว่า นายไพโรจน์ทำบันทึกยินยอมให้เอกชนก่อสร้างบังกะโลได้ ๕ หลัง ต่อพื้นที่ ๑ ไร่ จริง เมื่อนายไพโรจน์ทำบันทึกขณะปฎิบัติราชการแทนอธิบดีกรมป่าไม้ อนุญาตให้ราษฎรจำนวน ๓๔ ครอบครัว รวมทั้งจำเลยที่เดือดร้อนสร้างบังกะโลได้ ๕ หลังต่อพื้นที่ ๑ ไร่ เพื่อบริการนักท่องเที่ยวบนเกาะเสม็ด นายไพโรจน์จะมีอำนาจอนุญาตได้หรือไม่ และขัดต่อระเบียบของกรมป่าไม้หรือไม่ ก็ยังมีข้อโต้เถียงกัน จนต้องส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ
             ดังนี้ จึงมีเหตุน่าเชื่อว่า จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่านายไพโรจน์ซึ่งเป็นรองอธิบดีกรมป่าไม้ขณะนั้นมีอำนาจโดยชอบในการที่จะอนุญาตให้สร้างบังกะโลบนเกาะเสม็ดได้ จำเลยจึงเข้าใจโดยสุจริตว่า ตนเองมีสิทธิ์จะทำได้ตามที่ได้รับอนุญาต พยานโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำผิดฐานยึดถือครอบครองที่ดินภายในเขตอุทยานแห่งชาติตามฟ้อง ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น