วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ร่วมกันครอบครองไม้และสนับสนุนการกระทำความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  3335/2554
พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 69
               คำว่า “ครอบครอง” ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ ฯ นั้น หาได้มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า “สิทธิครอบครอง” ตาม ป.พ.พ. ไม่ หากแต่มีความหมายกว้างกว่า โดยหมายความรวมถึงครอบครองเพื่อตนเองและครอบครองแทนผู้อื่นด้วย ทั้งนี้เพราะไม่มีบทกฎหมายใดให้ความหมายจำกัดว่าต้องเป็นการครอบครองเพื่อตนเองเท่านั้น จึงจะเป็นความผิด
               อีกทั้ง ในทางอาญา การร่วมกันครอบครองไม้หวงห้ามก็เป็นความผิดเช่นเดียวกัน ดังนั้น การที่จำเลยทั้งสามรับจ้างผู้อื่นมาชักลากไม้สักของกลางก็ตาม ก็ถือได้ว่าเป็นการครอบครองไม้สักของกลางแทนเจ้าของผู้ว่าจ้าง การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันมีไม้สักของกลางไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  737/2550
ป.อ. มาตรา 83, 86, 91
พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 48, 73
              การกระทำความผิดฐานร่วมกันมีไม้หวงห้ามที่ยังมิได้แปรรูปโดยไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขาย และโดยพิสูจน์ไม่ได้ว่าได้ไม้นั้นมาโดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นความผิดมาตรา 69 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 กระทงหนึ่ง ส่วนความผิดฐานมีไม้แปรรูปเกิน 0.20 ลูกบาศก์เมตร โดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดตามมาตรา 48 ซึ่งมีโทษตามมาตรา 73 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกันอีกกระทงหนึ่ง หาใช่เป็นความผิดในบทบัญญัติเดียวกัน
              เมื่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ซึ่งบัญญัติถึงการกระทำความผิดหลายกรรม มิได้บัญญัติว่าการกระทำความผิดหลายกรรมจะเกิดขึ้นในวาระเดียวคราวเดียวไม่ได้ ทั้งการที่กฎหมายบัญญัติบทความผิดและบทลงโทษไว้คนละมาตราย่อมเห็นเจตนารมณ์ของกฎหมายได้ว่ามีความประสงค์จะแยกความผิด 2 ฐานนี้ออกจากกัน ดังนั้น แม้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 จะมีไม้แปรรูปและไม้หวงห้ามที่ยังมิได้แปรรูปดังกล่าวไว้ในครอบครองในคราวเดียวกัน ก็เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
             จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้มีเลื่อยโซ่ยนต์หรือไม่ก็ดี หรือมีเจตนาในการกระทำความผิดหรือไม่ก็ดี ล้วนเป็นปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ให้การรับสารภาพตามฟ้อง ข้อเท็จจริงจึงรับฟังยุติว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 กระทำความผิดทุกข้อตามฟ้อง ศาลชั้นต้นจึงพิพากษาไปได้โดยไม่ต้องสืบพยานหลักฐาน จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 เพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้มีเลื่อยโซ่ยนต์แล้ว ตามหนังสือรับรองแจ้งการขอรับใบอนุญาตท้ายอุทธรณ์ และอ้างว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ไม่รู้ว่าจำเลยที่ 6 ได้ไม้ของกลางมาโดยไม่ชอบ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ขัดกับคำให้การรับสารภาพ และย่อมเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 หาใช่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
             คำฟ้องโจทก์ได้บรรยายไว้ชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ร่วมกันมีไม้หวงห้ามซึ่งยังไม่ได้แปรรูปไว้ในครอบครอง โดยไม้เหล่านี้ไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขาย และภายหลังร่วมกันแปรรูปไม้แล้วจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ร่วมกันมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครอง แม้จะบรรยายถึงมูลเหตุจูงใจของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ด้วยว่า การทำไม้และแปรรูปไม้ดังกล่าว เป็นการกระทำตามที่ได้รับการใช้จ้างวานจากจำเลยที่ 6 ก็ไม่ได้หมายความว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 จะไม่สามารถเป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิดในฐานดังกล่าวได้ เพราะไม่ว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 จะมีมูลเหตุจูงใจอย่างไร ก็ไม่เป็นเหตุให้การกระทำที่ครบองค์ประกอบความผิดแล้วกลับกลายเป็นเพียงผู้สนับสนุนได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  136/2546
ป.อ. มาตรา 59, 86, 91
พ.ร.บ.ป่าไม้ มาตรา 7, 48, 73, 74
               ความผิดฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลาตราบเท่าที่โรงงานแปรรูปไม้นั้นยังตั้งอยู่ และผู้ตั้งโรงงานยังไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ การช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่ผู้ตั้งโรงงานในช่วงเวลาดังกล่าว จึงเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด เมื่อจำเลยไปช่วยก่อสร้างและรับจ้างทำงานในโรงงานดังกล่าว แสดงว่าจำเลยทำงานมานาน ประกอบกับพฤติการณ์ที่จำเลยหลบหนี จึงฟังได้ว่าจำเลยรู้ว่าโรงงานนั้นตั้งขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย การที่จำเลยทำงานเป็นลูกจ้างในโรงงานโดยทำไม้วงกบประตูให้แก่นายคำ นายจ้างที่จะนำไปสร้างบ้าน ย่อมเป็นการช่วยเหลือนายคำ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดของนายคำ
               ความผิดฐานมีไม้สักแปรรูปไว้ในครอบครองเป็นความผิดที่จะต้องกระทำโดยเจตนา ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยเป็นลูกจ้างนายคำ รับจ้างนายคำปลูกสร้างบ้านและแปรรูปไม้อยู่ในโรงงานเกิดเหตุมานาน ไม้สักแปรรูปของกลางเป็นไม้ที่จำเลยเป็นผู้แปรรูปเพื่อจะนำไปใช้ปลูกสร้างบ้านอันเป็นกิจการของนายคำ และจำเลยเบิกความว่า ขณะที่จำเลยแปรรูปนั้นนายคำป่วยอยู่ที่บ้านนายคำ จำเลยย่อมจะต้องเป็นผู้ดูแลรักษาไม้ที่ได้จากการแปรรูปไว้เพื่อมอบให้แก่นายคำ พฤติการณ์ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวฟังได้ว่า จำเลยมีเจตนาครอบครองไม้สักแปรรูปของกลาง